โลคัลไลเซชันคืออะไร และทำงานอย่างไร
คุณกำลังมองหาวิธีขยายธุรกิจไปต่างประเทศและอยากประสบความสำเร็จในตลาดใหม่ใช่ไหม? ถ้าใช่ สิ่งสำคัญที่ต้องทำก่อนคือการปรับสินค้าและบริการของคุณให้เข้ากับภาษาท้องถิ่น
ภาพจาก Pexels/katrina
การทำ Localization (โลคัลไลเซชัน) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า L10N คือการปรับเนื้อหาของสินค้าและบริการให้สอดคล้องกับภาษา วัฒนธรรม และข้อกำหนดต่าง ๆ ของตลาดเป้าหมาย กระบวนการนี้ครอบคลุมทุกอย่างตั้งแต่ตัวผลิตภัณฑ์ คู่มือการใช้งาน เอกสาร สื่อการตลาด ซอฟต์แวร์ แอปพลิเคชัน เว็บไซต์ ไปจนถึงวิดีโอ เพื่อให้ผู้บริโภคในท้องถิ่นนั้น ๆ เข้าใจได้ง่าย
ในโลกปัจจุบันที่มีผู้บริโภคหลากหลาย โอกาสในการเติบโตของธุรกิจก็มีมากขึ้นตามไปด้วย นั่นเป็นเหตุผลที่หลายบริษัทเลือกใช้บริการโลคัลไลเซชัน เพื่อช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ ได้ดียิ่งขึ้น เพราะสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการคือสินค้า บริการ และข้อมูลต่าง ๆ ในภาษาของตนเอง การทำโลคัลไลเซชัน จึงช่วยให้แบรนด์ประสบความสำเร็จในการเจาะตลาดเป้าหมายได้มากขึ้นนั่นเอง
ภาพจาก Pexels/Alex CC
โลคัลไลเซชันเป็นมากกว่าแค่การแปลภาษา แต่เป็นการปรับเปลี่ยนเครื่องมือทางการตลาดให้เข้ากับตลาดต่างประเทศอย่างลึกซึ้ง กระบวนการนี้ไม่เพียงแต่แปลเนื้อหาจากภาษาต้นทางไปสู่ภาษาปลายทางเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับบริบททางวัฒนธรรมและความหมายเฉพาะของแต่ละภาษาด้วยสิ่งที่ทำให้การโลคัลไลเซชันแตกต่างจากการแปลทั่วไปคือ การให้ความสำคัญกับองค์ประกอบที่ไม่ใช่ตัวอักษร เช่น กราฟิก รูปภาพ และสี ซึ่งล้วนมีผลต่อการรับรู้ของผู้บริโภคในแต่ละวัฒนธรรม
เมื่อทำการโลคัลไลเซชันอย่างถูกต้องและครบถ้วน ธุรกิจจะได้รับประโยชน์หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการประหยัดเวลาในการเจาะตลาดใหม่ การลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว และที่สำคัญคือความมั่นใจว่าเนื้อหาและการนำเสนอจะตรงใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในแต่ละประเทศอย่างแท้จริง หากคุณสนใจเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับขั้นตอนและวิธีการทำโลคัลไลเซชัน เรามีข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจพร้อมให้คุณศึกษาดังต่อไปนี้
การเตรียมงาน
การเตรียมงานที่รอบคอบเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในการทำโลคัลไลเซชัน เมื่อผู้ให้บริการเข้าใจวัตถุประสงค์และทรัพยากรของลูกค้าอย่างถ่องแท้ พวกเขาจะสามารถวางแผนและตัดสินใจเลือกวิธีการทำงานที่เหมาะสมที่สุดได้
การจัดทำอภิธานศัพท์
การจัดทำอภิธานศัพท์เฉพาะทางเป็นขั้นตอนสำคัญในการเตรียมงาน เพราะช่วยให้ทุกคนใช้คำศัพท์ได้อย่างสอดคล้องกัน โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบรนด์ การใช้อักษรย่อ หรือคำศัพท์เฉพาะในภาษาต้นฉบับ นอกจากนี้ คู่มือประกอบการแปลยังช่วยกำหนดสไตล์และระดับภาษาที่เหมาะสมสำหรับงานนั้น ๆ ยิ่งมีรายละเอียดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้งานแปลมีความแม่นยำและมีคุณภาพสูงขึ้นเท่านั้น
การแปลและการตรวจแก้งานแปล
ในการทำโลคัลไลเซชันสำหรับเนื้อหาเฉพาะทาง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรักษาแก่นของสารที่ต้องการสื่อถึงผู้อ่านให้คงอยู่ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อแปลงานจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาเยอรมัน นักแปลอาจเผชิญกับความท้าทายในการเลือกคำที่เหมาะสมจากตัวเลือกมากมาย ในสถานการณ์เช่นนี้ นักแปลจำเป็นต้องใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบในการคัดสรรคำที่ดีที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าผลงานที่ส่งมอบให้ลูกค้านั้นไม่เพียงแค่ถูกต้องตามหลักภาษา แต่ยังคงรักษาความหมายและอารมณ์ของต้นฉบับได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
การตรวจสอบคุณภาพ
การตรวจสอบคุณภาพเป็นขั้นตอนที่ขาดไม่ได้ในกระบวนการโลคัลไลเซชัน งานแปลที่ดีควรมีความสมบูรณ์เทียบเท่าต้นฉบับและปราศจากข้อผิดพลาด การตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น
การตรวจทานโดยคนภายใน
ขั้นตอนสุดท้ายคือการตรวจทานโดยคนใน ซึ่งเป็นโอกาสสุดท้ายของแบรนด์ในการตรวจสอบชิ้นงาน ผู้รับผิดชอบในขั้นตอนนี้ควรเป็นผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้น ๆ อย่างลึกซึ้ง การเลือกคนที่เหมาะสมจะช่วยให้แบรนด์มั่นใจว่าผลงานสุดท้ายจะตรงตามความต้องการ และสอดคล้องกับอภิธานศัพท์และคู่มือการแปลที่กำหนดไว้
ภาพจาก Dmitriy CauseLove
สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการโลคัลไลเซชันได้บนเว็บไซต์ของเรา